1.กฎหมายมหาชนไทยที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับระบบราชการแบบรวมศูนย์อำนาจ
สาเหตุของปัญหา
1.) ความสัมพันธ์ของระบบอุปถัมภ์ เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ข้าราชการผู้มีอำนาจเป็นเจ้าคนนายคน ซึ่งอุปถัมภ์ค้ำชู้ปกป้องและปกครองผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ ทำให้สภาพกฎหมายไทยมีลักษณะให้อำนาจและเอกสิทธ์แก่ระบบราชการและข้าราชการ
2.) สังคมไทยในการเมืองเป็นสังคมอำนาจนิยม ในสังคมแบบนี้ยึดหลักอำนาจคือธรรม โดยความชอบธรรมถูกกำหนดโดยอำนาจปัจจุบันที่ผู้มีอำนาจมีอยู่ ดังนั้นระบบราชการและข้าราชการจึงเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจและการใช้อำนาจ เหนือประชาชน
3.) การสร้างรัฐชาติให้เกิดขึ้นในสมัยรัชการที่ 5 เพื่อต่อต้านกระแสกดดันจากจักรวรรดินิยมโดยการปรับปรุงระบบศาลยุติธรรมให้ รวมศูนย์และเป็นเอกภาพ ปฏิรูปกฎหมายให้เป็นระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรแบบประมวลกฎหมาย กระบวนการเหล่านี้ประสพผลสำเร็จในการทำให้ชาติไทยคงเอกราชและอธิปไตยทางการ เมืองและการศาล แต่กระบวนการเหล่านี้เมื่อบ้านเมืองพัฒนามากกว่า 100 ปีสมควรจะต้องมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมโลกปัจจุบัน
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
1.) เกิดการเรียกร้องให้รัฐส่วนกลางกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมากขึ้น
2.) ส่งเสริมให้ราชการฝ่ายบริหารเป็นแกนกลางของรัฐ จนกลายเป็นระบบที่ทรงพลังและปลอดจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองและประชาชนมากเกินไป
2. กฎหมายมหาชนไทย ที่ผ่านมามุ่งให้อำนาจและเอกสิทธิ์แก่ระบบราชการมากกว่าควบคุมการใช้อำนาจ
สาเหตุของปัญหา
ลักษณะวัฒนธรรมในสังคมไทย 3 ประการที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ กล่าวคือ วัฒนธรรมอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และรวมศูนย์อำนาจ เป็นต้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กฎหมายมหาชนไทยมุ่งให้อำนาจและเอกสิทธิ์แก่ระบบ ราชการมากกว่าการควบคุมการใช้อำนาจ
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
1.) กฎหมายมีเนื้อหาไม่สมบูรณ์ ไม่ครบถ้วน ให้อำนาจแก่พนักงานมากเกินไป โดยปราศจากการควบคุม การใช้ดุลยพินิจที่ดี การที่กฎหมายมีสภาพเช่นนี้ ทำให้มีการใช้อำนาจเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เป็นไปได้โดยง่าย
2.) กฎหมายมุ่งการควบคุม ซึ่งบางครั้งไม่จำเป็น และซับซ้อนกันมาก
3.) ขั้นตอนตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับมีมากและล่าช้า สร้างความไม่แน่นอนให้เอกชน ความไม่แน่นอนและความล่าช้าเหล่านี้ สร้างความเสี่ยงในการลงทุนให้แก่เอกชนและทำให้เอกชนต้องเสียค่าใช้จ่ายโดย ไม่จำเป็น
4.) ความล้าสมัยของกฎหมาย กฎหมายหลายฉบับได้ตราขึ้นในสภาพสังคมแบบเก่า แต่ยังมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน และได้กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง
5.) ปริมาณกฎหมายมีมากและการมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมาย อนุบัญญัติได้ง่ายและปราศจากขอบเขตที่แน่นอน
6.) กระบวนการนิติบัญญัติไทย เป็นกระบวนการที่ระบบราชการบริหารเป็นผู้กำหนดและเป็นกระบวนการที่ล่าช้าไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
3. ความสับสนของแนวความคิดในกฎหมายไทย
สาเหตุของปัญหา
1.) การไม่ให้ความสำคัญกับกฎหมายในการเรียนการสอน นักกฎหมายไทยรุ่นเก่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับกฎหมายมหาชนเลย ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในพ.ศ. 2475 การเรียนการสอนก็ยังไม่มากพอ ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เป็นการกำเนิดกฎหมายมหาชนก็สั้นเกินไป จนไม่อาจสร้างกฎหมายมหาชนได้อย่างแท้จริง เหตุนี้ทำให้พัฒนาการของกฎหมายมหาชนไทยค่อนข้างล้าหลัง
2.) ความขัดแย้งทางความคิดของนักกฎหมายไทยที่สำเร็จการศึกษาจากภาคพื้นยุโรปและประเทศในกลุ่มคอมมอนลอว์
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
1.) การแบ่งประเภทของกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย
เนื่องจากความไม่แน่นอนการศึกษากฎหมายมหาชนไทย ทำให้แนวความคิดในการแบ่งแยกกฎหมายมีความสับสนหลายประการ คือ
1.1. ปัญหาการเป็นนิติบุคคลของรัฐในกฎหมายไทย
1.2. การใช้บังคับกฎหมายและการศึกษากฎหมาย นักกฎหมายไทยส่วนใหญ่ไม่แยกความแตกต่างระหว่างการแยกสาขากฎหมาย โดยคำนึงถึงกฎหมายกับการแยกสาขากฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ในการสอนวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยออกจากกันได้
2.) การเข้าใจหลักการแบ่งแยกอำนาจที่คลาดเคลื่อนของนักกฎหมายไทย นักกฎหมายไทยได้รับการศึกษามาจากต่างประเทศที่แตกต่างกันในระบบและแนวคิดทาง กฎหมาย ดังนั้น ความเข้าใจในหลักกฎหมายจึงต่างกัน โดยเฉพาะหลักการแบ่งแยกอำนาจ ซึ่งหลักการแบ่งแยกอำนาจนี้ได้กลายมาเป็นอุปสรรคประการหนึ่งในการศึกษา การจัดและการปรับปรุงกลไกของรัฐ ซึ่งเป็นขอบเขตของวิชากฎหมายปกครอง
4. การบังคับใช้กฎหมายและความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม
ปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย
ศาตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ได้วิเคราะห์เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1.) การบังคับใช้กฎหมาย คือมติที่สามของกฎหมาย สิ่งที่เรามองเห็นด้วยตานั้นมีสามมิติคือ ส่วนกว้าง ส่วนยาว และส่วนลึก มิติที่สามคือความลึก ตัวบทกฎหมายก็น่าจะเปรียบเทียบกับวัตถุที่เรามองไม่เห็นด้วยตาได้เช่นเดียว กัน ถ้านำตัวบทกฎหมายต่าง ๆ มาวิเคราะห์ดูให้ถ่องแท้ ว่าตัวบทกฎหมายเหล่านั้นได้ถูกนำมาใช้บังคับให้เกิดผลเป็นจริงได้เพียงใด เราจึงจะมองเห็นมิติที่สามของกฎหมายได้
2.) เจตนารมณ์และกลไกของรัฐในแต่ละสาขาไม่เหมือนกันกฎหมายแต่ละสาขา มีเจตนาแตกต่างกันและรับก็สร้างกลไกของรัฐเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามบท บัญญัติของกฎหมาย
ปัญหาเกี่ยวกับความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม
การอำนวยความยุติธรรมและการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นหน้าที่หลักของรัฐใน ทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงและเร่งรัดการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างมาก ปัญหาความล่าช้าในการอำนวยความยุติธรรมนั้น จะเห็นได้ว่าย่อมส่งผลกระทบกระเทือนต่อประชาชนที่เกี่ยวข้องอย่างมากทั้งใน คดีแพ่งและคดีอาญา
ในคดีแพ่งนั้น การที่คดีความล่าช้าไม่ว่าจะอยู่ในการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาก็ดี หากในแต่ละคดีต้องใช้เวลาพิจารณานานหลายปี ย่อมไม่อาจเยียวยาความเดือดร้อนของคู่ความได้ แม้ในที่สุดศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ตาม
ส่วนในคดีอาญานั้น การพิจารณาคดีที่ใช้เวลานานเกินไป ย่อมกระทบกระเทือนต่อเสรีภาพของจำเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ศาล มีคำพิพากษายกฟ้อง หากจำเลยจำเป็นต้องถูกควบคุมตัวในระหว่างการพิจารณาด้วยแล้วด้วยแล้ว เสรีภาพที่สูญเสียไปย่อมไม่อาจแก้ไขได้